animate animate animate animate animate animate animate animate animate animate animate animate animate animate
สถานที่ท่องเที่ยวในภาคใต้

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดสตูล



             "สตูล" ถือเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวไม่เคยเสื่อมคลาย ซึ่งถึงแม้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครถึง 973 กิโลเมตร แต่ระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหาในการเดินทางไปสัมผัสเมืองเล็ก ๆ มากเสน่ห์แห่งนี้ และเมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดสตูลที่มีชื่อเสียง ก็คงไม่พ้นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่งดงาม โดยเฉพาะ เกาะตะรุเตา, เกาะหลีเป๊ะ หรือ หมู่เกาะอาดัง-ราวี ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศเลยทีเดียว วันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับจังหวัดสตูลให้มากยิ่งขึ้น กับ 10 ที่เที่ยวสตูล ที่เราหยิบมาแนะนำกันค่ะ

10 ที่เที่ยวสตูล เพชรเม็ดงามแห่งอันดามัน
1. ถ้ำภูผาเพชร
        มาเริ่มต้นกับสถานที่แรกนั่นก็คือ "ถ้ำภูผาเพชร" ถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ติดอันดับ 4 ของโลก ตั้งอยู่ในตำบลปาล์มพัฒนา อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล เมื่อเดินทางเข้าไปภายในถ้ำจะพบห้องโถงขนาดกว้าง เพดานถ้ำสูง ๆ ที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะตัวอยู่ และเมื่อกระทบกับแสงไฟก็จะส่องเป็นประกายอย่างสวยงาม พร้อมทั้งมีการแบ่งชื่อแต่ละห้องตามลักษณะของธรณีสัณฐานที่พบออกเป็น 20 ห้อง เช่น "ห้องม่านเพชร" มีลักษณะคล้ายผ้าม่านแขวนอยู่, ห้องพญานาค มีหินงอกคล้ายงูใหญ่หรือพญานาค, ห้องปะการัง มีหินงอกหินย้อยคล้ายปะการังในทะเล
        และถ้าสังเกตจากประเภทของหินงอก (Stalagmite) ก็จะมีชื่อต่าง ๆ ตามรูปทรงที่พบเห็นมากถึง 31 แห่ง ส่วนประเภทหินย้อย (Stalactite) ก็มีทั้งหมด 4 แห่ง และสุดท้ายคือประเภทเสาหิน (Column in Cavern) ซึ่งเป็นส่วนของหินงอกและหินย้อยที่มาบรรจบกันแล้วมองดูคล้ายเสาค้ำยันเพดาน ถ้ำกว่า 14  แห่ง นอกจากนี้ยังมีประเภทเสาหินที่มีลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น เสาเพชร หรือเสาหินย้อย หรือเสาค้ำสุริยัน รวมทั้งยังมีบ่อขั้นบันได ที่มีลักษณะเหมือนชายน้ำตกหินปูนที่เป็นชั้น ๆ เหมือนขั้นบันไดอีกด้วย
        ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางไปเยือนที่ "ถ้ำภูผาเพชร" ควรเตรียมตัวก่อนเดินทางให้พร้อม ทั้งไฟฉายติดตัวไปเพื่อส่องดูความงามภายในถ้ำ สวมใส่รองเท้าที่เดินสบาย พร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โทรศัพท์ 0 7472 0314-11

10 ที่เที่ยวสตูล เพชรเม็ดงามแห่งอันดามัน
2. วัดชนาธิปเฉลิม
ภาพจาก ททท.
          "วัดชนาธิปเฉลิม" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดมำบัง" เป็นวัดแห่งแรกของเมืองสตูล ที่ตั้งอยู่บริเวณริมคลองมำบัง ถนนศุลกานุกูล ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมชาวพุทธใน
จังหวัดสตูลที่มีอายุมากกว่า 100 ปีมาแล้ว สำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวภายในจะพบกับพระอุโบสถที่มีลักษณะแปลกไปกว่าทั่วไป คือ มีลักษณะเป็นทรง 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนคู่กับชั้นบนซึ่งเป็นอาคารไม้ ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของพระสงฆ์ ส่วนชั้นล่างใช้เป็นศาลาการเปรียญ ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นระเบียง มีบันไดทั้ง 2 ด้าน นอกจากนี้ยังเป็นวัดที่หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดสตูลร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสตูล โรงเรียนสตูลวิทยา ประกาศเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก วัดชนาธิปเฉลิม โทรศัพท์ 0 7471 1996 หรือเฟซบุ๊ก โรงเรียนเทศบาล2-วัดชนาธิปเฉลิม สตูล

                                                                                  3. มัสยิดกลางจังหวัดสตูล หรือมัสยิดมำบัง
10 ที่เที่ยวสตูล เพชรเม็ดงามแห่งอันดามัน
ภาพจาก ททท.
        "มัสยิดมำบัง" ชื่อที่หลายคนรู้จักในชื่อเดิมคือ "มัสยิดเตองะห์" หรือ "มัสยิดอากีบี" ตั้งอยู่ในย่านตลาด เขตเทศบาลเมืองสตูล อำเภอเมือง ภายในออกแบบและตกแต่งในสถาปัตยกรรมแบบโดมเดียว คล้ายบัวตูม หรือ "เรือ" ในหมากรุกไทย บนยอดโดมมีสัญลักษณ์ดาวและพระจันทร์เสี้ยว แสดงถึงสัญลักษณ์การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ใช้เป็นห้องประชุม และห้องสมุด, ชั้นกลางใช้ละหมาด พื้นหินขัด ผนังก่ออิฐถือโปกปูน สลับอิฐโปร่งสีน้ำตาล เพื่อระบายอากาศ ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ หลังคาเทคอนกรีตปูด้วยกระเบื้องดินเผา โดมเป็นเฟือง 8 เฟือง ประดับกระจกสีทองจากอิตาลี

10 ที่เที่ยวสตูล เพชรเม็ดงามแห่งอันดามัน 4. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล คฤหาสน์กูเด็น
ภาพจาก ททท.
        พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล หรือคฤหาสน์กูเด็น ตั้งอยู่บริเวณถนนสตูลธานีซอย 5 ตรงข้ามกับสำนักงานที่ดินจังหวัดสตูล สร้างเมื่อ พ.ศ. 2441 โดย พระยาภูมินารถภักดี หรือตวนกูบาฮารุดดินบินตำมะหงง (ชื่อเดิม กูเด็น บินกูแม๊ะ) เจ้าเมืองสตูลในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459

        สำหรับคฤหาสน์หลังนี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จเดินทางไปเมืองปักษ์ใต้แต่ไม่ได้ประทับแรม และเคยใช้เป็นบ้านพักและศาลาว่าการเมืองสตูล จนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารหลังนี้ถูกใช้เป็นกองบัญชาการทหารญี่ปุ่น ต่อมาปี พ.ศ. 2540-2543 กรมศิลปากรได้ปรับปรุงคฤหาสน์กูเด็นขึ้นใหม่ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ในรูปแบบตะวันตกผสมผสานแบบไทยอย่าง ประตูหน้าต่างรูปโค้งตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป หลังคาทรงปั้นหยาแบบไทยใช้กระเบื้องดินเผารูปกาบกล้วย บานหน้าต่างเป็นแผ่นไม้ชิ้นเล็ก ๆ เป็นเกล็ดแนวนอน ช่องลมด้านบนตกแต่งรูปดาวตามลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม

        ส่วนภายในอาคารก็มีการจัดนิทรรศการแสดงประวัติศาสตร์เมืองสตูล วิถีชีวิตของชาวสตูลในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ในวันพุธ-อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์, วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 09.00-16.00 น. พร้อมทั้งสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก คฤหาสน์กูเด็น

10 ที่เที่ยวสตูล เพชรเม็ดงามแห่งอันดามัน 5. ถ้ำเจ็ดคต
ภาพจาก ททท.
        ถ้ำเจ็ดคต หรือ "ถ้ำสัตคูหา" ตั้งอยู่ภายในหมู่ที่ 10  ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางไปได้ตลอดปี ภายในถ้ำเจ็ดคตมีความกว้าง 70–80 เมตร ยาวประมาณ 600 เมตร แบ่งเป็น 7 ช่วง (คูหา) ซึ่งมีบรรยากาศแตกต่างกัน และมีลำคลองไหลไปตามความคดเคี้ยวของตัวถ้ำ ทำให้ระดับน้ำภายในถ้ำมีความตื้นลึกไม่เท่ากัน โดยในช่วงหน้าแล้งน้ำลึกแค่ท่วมข้อเท้าเดินลุยไปได้อย่างสบาย  บางตอนอาจลึกเกิน 5 เมตร แต่ในช่วงหน้าฝน มีน้ำหลากจะเดินทางเข้าไปได้ค่อนข้างยาก นักท่องเที่ยวต้องเดินลัดเลาะไปตามริมผนังถ้ำ เดินลุยน้ำ  บางตอนเป็นหาดทรายผสมกรวดบ้าง บางคูหามีพื้นที่เป็นโคลนเลนต้องระมัดระวังในการเดินเป็นพิเศษควรมีไฟฉายติดตัวไปด้วย

        สำหรับถ้ำเจ็ดคตมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากถ้ำอื่น ๆ คือมีลำคลองลอดถ้ำคดเคี้ยวไปตามลักษณะธรรมชาติของตัวถ้ำมีถึง 7 คูหา เป็นที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้  มีผู้ตั้งชื่อใหม่ว่า "ถ้ำสัตคูหา" พร้อมตั้งชื่อของแต่ละคูหา ดังนี้

        ● คูหาที่ 1 เรียกว่า "สาวยิ้ม" ผนังถ้ำมีสีเขียวมรกต มีหินงอกหินย้อยอยู่หน้าถ้ำ

        ● คูหาที่ 2 เรียกว่า "นางคอย" มีหินงอก หินย้อย สวยงาม และฝูงค้างคาวจำนวนมาก

        ● คูหาที่ 3 เรียกว่า  "เพชรร่วง" ส่วนบนของผนังถ้ำมีช่องให้แสงอาทิตย์ส่องลอดลงมาได้ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผนังถ้ำจึงเกิดประกายแวววาวเหมือนเพชร

        ● คูหาที่ 4 เรียกว่า "เจดีย์สามยอด" พื้นทางเดินเป็นหิน ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบ

        ● คูหาที่ 5 เรียกว่า "น้ำทิพย์" ตามผนังถ้ำเป็นหินย้อยสีขาวและน้ำตาล เป็นหลืบซ้อนกันมองดูคล้ายผ้าม่าน

        ● คูหาที่ 6 เรียกว่า "ฉัตรทอง" มีหินงอก หินย้อย ซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้นเสมือนฉัตร

        ● คูหาที่ 7 เรียกว่า " ส่องนภา" ภายในมีหินงอก หินย้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวคว่ำ

        ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 7521 5867,0 7521 1058

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม